วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อสอนอะไร ตอน 66 ( แนวทางในการหาสถานที่ ตอนที่ ๒)

หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๖๖) แนวทางในการหาสถานที่ (ตอนที่ ๒)



หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๖๖)

แนวทางในการหาสถานที่ (ตอนที่ ๒)


     โดยหลักการของการบริหารแล้ว ทุกองค์กรจะมีนโยบายหลักซึ่งเป็นแนวทางในการทำงาน แต่อย่างไรก็ต้องมีรายละเอียดซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของประกาศหรือระเบียบอะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้นโยบายนั้นถูกแปลไปสู่การปฏิบัติได้

 
     นอกจากหลวงพ่อทัตตชีโว จะให้หลักกว้าง ๆ ในการสร้างวัดแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจซื้อที่จริง ๆ หลวงพ่อก็ให้ข้อคิดเพิ่มเติมอีกว่า

     “ การที่เราไปเสาะแสวงหาว่ามีโบสถ์ที่ไหนจะขายว่าหายากแล้ว พอเจอก็ไม่ใช่ว่า เราจะรีบซื้อ ต้องคิด พิจารณาให้รอบคอบ อย่างน้อยต้องคิดว่า เรามีทุนจำกัด หากซื้อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจในภายหลัง ต้องดูว่าซื้อแล้วจะขายได้ไหม เราจะเอาที่ตรงนี้ทำอะไร จะเป็นที่หยั่งเท้าหรือที่ถาวร มันจะคิดคนละอย่างกันนะ ต้องพิจารณาให้ดี ”

“ ที่หลวงพ่อบอกว่าที่หยั่งเท้ากับที่ถาวรคิดต่างกันอย่างไรหรือครับ ”


     “ หากเป็นที่หยั่งเท้า นี่แสดงว่า เรามีทุนจำกัด แต่มันจำเป็นต้องขยับขยาย ก็ต้องดูว่า เราจะอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ซื้อมาแล้วเวลาจะขายจะยากหรือง่าย แต่ถ้าเราตัดสินใจแล้วว่า ตรงนี้หล่ะจะเป็นที่ถาวร ไม่ย้ายแล้ว ก็จะมีแนวทางในการคิดในรายละเอียดเยอะ ”

     “ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยขยายความหน่อยครับ จะได้บันทึกไว้เป็นหลักให้กับหมู่คณะในภายหลัง ”


     “ ประการแรกเลยนะ วัดต้องมีสถานที่กว้างขวางพอ ต้องนึกถึงเด็ก ๆ ที่มาวัด ให้มีที่ให้มันได้วิ่งเล่นกันบ้าง หากเป็นไปได้อย่างน้อยต้องสัก ๓ เอเคอร์(ประมาณ ๗ ไร่เศษ)

     ประการที่สอง ต้องมีห้องประชุมคน จะให้ดีต้องจุคนได้อย่างน้อย ๒๐๐ คน

     ประการที่สาม ห้องครัว ห้องอาหาร เพื่อรองรับสาธุชนที่มาวัด อันนี้ก็มีความสำคัญ อย่างที่ยายบอก คนมาเท่าไร ให้เราเลี้ยงให้ได้ 

     ประการที่สี่ ต้องจัดการให้มีห้องทำงานของพระ ของเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสม


     ประการที่ห้า ที่จอดรถจอดราจะต้องเพียงพอ ไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้าน เวลาเราจัดกิจกรรม

     ประการที่หก หากเลือกอยู่ใกล้สถานศึกษาได้จะดี เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าไปแนะนำสมาธิ รวมทั้งหากมีความจำเป็นอะไรจะได้เช่าสถานที่ของเขาในการจัดงานได้

     ประการที่เจ็ด อยู่ในย่านที่คนไปมาได้สะดวก และต้องเป็นย่านที่ดี อยู่แล้วปลอดภัย ไม่อย่างนั้นจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพเข้ามา


     ประการที่แปด ต้องอยู่ใกล้แหล่งวัสดุ อุปกรณ์ สามารถซื้อหาของได้ง่าย

     ส่วนในเรื่องอื่น ๆ ก็ให้ไปคุยกันดู จะมีอะไรเพิ่มเติมก็เอา หรืออาจจะไม่ได้ครบทุกข้อ ก็ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้ทำงานได้สะดวกขึ้น

     ที่สำคัญที่สุดที่หลวงพ่อขอฝากไว้คือ จะหาที่หาทางอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องให้ทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมาย อะไรที่เราไม่รู้ก็ไปศึกษา หาคนที่เขามีความรู้เข้ามาช่วย อย่าทำอะไรโดยขาดความรู้ เราไปอยู่บ้านเขาเมืองเขา ต้องทำอะไรให้รอบคอบนะลูกนะ ”




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๙ ก.ย. ๕๙

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อสอนอะไร ตอน 65 (แนวทางในการหาสถานที่ ตอนที่ ๑)

หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๕) แนวทางในการหาสถานที่ (ตอนที่ ๑)





หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๕)


แนวทางในการหาสถานที่ (ตอนที่ ๑)


   มีคำถามจากหลายท่านว่าทำไมวัดพระธรรมกายจึงสามารถขยายวัดสาขาในอเมริกาได้หลายแห่ง ก็ต้องตอบว่า หลัก ๆ เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ

     ๑. หลวงพ่อทั้งสองคอยให้คำแนะนำในการทำงาน

     ๒. สาธุชนหรือกัลยาณมิตรทุกคนรักบุญ รักการสร้างบารมี




     การทำงานในช่วงแรก หลวงพ่อธัมมชโยจะคอยให้นโยบายในการเผยแผ่ โดยมีหลวงพ่อทัตตชีโวเป็นผู้ดูแลให้การทำงานเป็นไปตามนโยบาย ต่อมาภายหลังเมื่อสุขภาพไม่อำนวย หลวงพ่อธัมมชโยจึงได้มอบหมาย

          ให้หลวงพ่อทัตตชีโวดูแลทั้งหมด อาตมาเองไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่เมื่อมองย้อนไปถึงช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ได้มีโอกาสติดตามหมู่คณะไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อธัมมชโย มีหลายครั้งที่หลวงพ่อท่านได้พูดถึงการขยายงานไปที่ต่างประเทศโดยเฉพาะที่อเมริกาโดยท่านได้กล่าวว่า


               “ หากอเมริกาจาม ทั้งโลกก็ติดหวัด ”

     หมายความว่า หากเราสามารถไปขยายงานที่อเมริกาได้ การไปประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ของยากแล้ว ในช่วงนั้นอาตมาคิดเพียงแค่ว่า อยากอยู่นั่งธรรมะกับหลวงพ่อ ไม่อยากไปไหน แต่ไม่รู้ว่าทำไม เวลาท่านพูดเรื่องต่างประเทศ อาตมากลับชอบที่จะตอบคำถาม และรู้สึกสนุกกับการที่ได้พูดถึง







     แม้หลวงพ่อวางแผนที่จะส่งทีมงานไปที่อเมริกาไว้หลายปีแล้ว แต่เอาเข้าจริงกว่าจะส่งพระและเจ้าหน้าที่ชุดแรกไปได้ ท่านก็วัดใจของญาติโยมอยู่เป็นปี โดยให้มีการรวมกลุ่มกัน จัดปฏิบัติธรรม บูชาข้าวพระกัน จนท่านมั่นใจว่า สาธุชนรักบุญ รักการสร้างบารมีจริง ๆ จึงได้เริ่มการทำงานในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเริ่มต้นจากบ้านเซอริโตส จนก้าวมาเป็นวัดพุทธเมวูดย์ แล้วขยายจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ไปสู่ ชิคาโกและนิวเจอร์ซี



     ในระยะแรก ๆ เราก็ยังไม่ค่อยมีหลักในการหาสถานที่มากนัก ขอเพียงว่าตรงไหนมีที่ให้ไปสร้างบารมีได้ ก็จะรีบไป เนื่องจากไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก และที่สำคัญทุนก็ไม่่ค่อยมี เพราะยึดหลักที่หลวงพ่อให้ไว้ คือ ไปที่ไหนต้องเอาดินที่นั่นถม คือ ไม่มีการเอาเงินจากวัดที่เมืองไทยไป จะต้องหาจากที่ที่เราไปปักหลัก

     ในช่วงที่ลองผิดลองถูกจากการทำงาน เริ่มต้นแม้การบริหารโดยรวมจะมีคณะกรรมการคอยดูแล แต่เรื่องการบริหารเงิน ก็ยังแยกกัน ทำให้การขยายงานค่อนข้างจะเป็นไปอย่างค่อยๆเป็นค่อยไปหรือพูดตรง ๆ คือ ช้า นั่นเอง จนกระทั่งเมื่อปรับเปลี่ยนวิธีจัดการโดยใช้ระบบกงสี คือ หากเจอที่ที่เหมาะสม แต่ละวัดก็จะลงขันกัน ซื้อโบสถ์หรืออาคารนั้น ๆ ทำให้งานเริ่มขยายเร็วขึ้น เพราะทุกวัดมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน



     ในช่วงนี้เองที่หลวงพ่อทัตตชีโว ท่านได้ให้หลักในการหาสถานที่ไว้
     “ เดิมเราเองไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก ด้วยเหตุหลายประการ ไหนจะมีกำลังทรัพย์ไม่มากพอ ไหนจะต้องดูว่าตรงไหนมีคนของเรา แต่ ณ วันนี้ เราพอลืมตาอ้าปากได้แล้ว การจะหาสถานที่ เราต้อง คิด พิจารณาให้มากขึ้น เล็กไปก็ไม่พอมือ ใหญ่ไปมันก็จะทับเราตาย เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันคิด ดูให้เหมาะสม รวมทั้งการมองงานข้างหน้าว่าที่ไหนเหมาะต่อการที่จะเอาวิชชาธรรมกายไปปักหลัก ”

     “ หลวงพ่อครับ แล้วจะมีวิธีในการดูสถานที่อย่างไรครับ หากเราเกิดไปเจอที่หลายแห่ง ”
     ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญที่อยากจะฝากพวกเราไว้ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่ทางในการอยู่อาศัยก็ตามหรือจะทำธุรกิจก็ตาม สามารถจะนำหลักนี้ไปใช้ได้



     หลวงพ่อท่านได้ให้คำแนะนำว่า
     “ ให้ใช้หลักสัปปายะหรือสบาย ๔ ประการนั่นแหละมาประกอบการพิจารณา ตีตารางเข้าไป แล้วให้คะแนน สมมุติว่าแต่ละช่องเต็มสิบ มีกี่ที่ก็ใส่ลงไป แล้วดูว่าแต่ละที่เราจะให้คะแนนเท่าไร กำหนดไปเลย อาวาส อาหาร บุคคล ธรรมะ เสร็จแล้วก็รวมคะแนน อันไหนได้คะแนนมากสุด ก็เลือกอันนั้นแหละ ”
     หากใครยังนึกไม่ออก ก็ขอให้ดูตารางด้านล่างนี้




     ก็ขอฝากเป็นข้อคิดกับพวกเราว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หลวงพ่อของเราท่านจะไม่เคยทิ้งหลักธรรม จึงทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความรอบคอบ สมดังที่ท่านมักจะพูดเสมอว่า


“ จะทำอะไรก็ตาม ให้เอาหลังอิงต้นโพธิ์ ”





ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๘ ก.ย. ๕๙

หลวงพ่อสอนอะไร ตอน 64 (สอนโดยการทำให้ดู)

หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๔) สอนโดยการทำให้ดู



หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๔)

สอนโดยการทำให้ดู


     เมื่อตอนยังเด็กด้วยสภาพแวดล้อมที่เห็นจนชินตาคือ สีเขียว ญาติ ๆ ผู้ชายก็เป็นทหาร ญาติฝ่ายหญิงก็แต่งงานกับทหาร ทำให้อาตมาคิดเพียงอย่างเดียวว่า โตขึ้นจะต้องเป็นทหารให้ได้ แต่มีเหตุทำให้เป็นทหารไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนเป้ามาอยากเป็นหมอ ก็เอ็นทรานส์ไม่ติด จึงเบนเข็มไปเรียนกฎหมาย ในความรู้สึกขณะนั้นคือ หนีการเรียนครู


     จนกระทั่งเมื่อได้มาบวชจึงพบว่าความฝันทุกอย่างที่อาตมาเคยฝันไว้ มาสำเร็จในจุดของการเป็นพระนี่เอง อาตมาได้เป็นทหารในกองทัพธรรม ได้เป็นหมอรักษาความทุกข์ของญาติโยม และได้เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา


     ที่สำคัญเมื่อมาพบหลวงพ่อทั้งสองทำให้ทราบว่า อาชีพที่อาตมาหนีที่สุดกลับเป็นอาชีพที่สำคัญที่สุด

     หลวงพ่อธัมมชโย ท่านจะคอยตอกย้ำให้เคารพในพระพุทธองค์ เพราะตระหนักในความเสียสละที่พระองค์มีต่อชาวโลก จนได้รับการขนานนามว่าพระองค์เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

     หลวงพ่อทัตตชีโว ก็จะคอยสอนลูก ๆ ในองค์กรเสมอว่า 

     “ กว่าจะมีใครตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องฝึกวิชาครูอย่างหนัก ในการสร้างบารมีที่ต้องมีเศษอีกแสนมหากัป นั่นแหละคือ การฝึกวิชาครู เพราะมิฉะนั้นจะไปสอน ไปถ่ายทอดให้ใครได้ ”


     สิ่งที่อาตมาประทับใจในครูบาอาจารย์คือ ท่านไม่ใช่ครูแค่เพียงการพร่ำสอน แต่ท่านเป็นครูโดยการกระทำให้ดู 

     เมื่ออาตมาได้มีโอกาสติดตามหมู่คณะไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อธัมมชโยตามที่ต่าง ๆ สิ่งที่พวกเราเห็นโดยไม่ต้องให้หลวงพ่อบอก คือ การรักธรรมะของท่าน ทุกครั้งที่มีเวลา ไม่มีภารกิจอย่างอื่น ท่านจะนั่งธรรมะ และจะเป็นคนแรกที่เข้าห้องปฏิบัติธรรม จนทำให้พวกเราต้องรีบมาก่อนท่าน




     หลวงพ่อทัตตชีโว ก็เป็นต้นแบบให้อาตมาในเรื่องความเคารพ นอกจากหลวงพ่อจะคอยเล่าเรื่องคุณยายและหลวงพ่อธัมมชโยให้ฟังแล้ว สิ่งที่ท่านแสดงออกถึงความเคารพในหลวงพ่อธัมมชโยคือ ทุกครั้งที่มีนโยบายมา หลวงพ่อจะเป็นผู้นำปฏิบัติเสมอ

     เมื่อครั้งที่เปิดโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาใหม่ ๆ ภาพที่พวกเราจะเห็นชินตาคือ หลวงพ่อทัตตชีโวจะนั่งอยู่ด้านข้าง พร้อมกับพระเถระ และหากท่านไม่ติดศาสนกิจที่ไหน ท่านจะต้องไปทุกครั้ง แม้บางครั้งกลับมาจากข้างนอก ท่านสรงน้ำสรงท่าเสร็จก็จะรีบไป อาตมาเคยถามท่านว่า

     “ หลวงพ่อเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ ไม่พักก่อนหรือครับ ”

     “ ไม่ได้หรอก หลวงพ่อต้องไปเข้าโรงเรียนอนุบาล เอ็งรู้มั้ย กว่าหลวงพ่อท่านจะเอาธรรมะเหล่านี้มาเล่าให้พวกเราฟังได้ ไม่ใช่ของง่าย ท่านเอาเรื่องยาก ๆ มาเคี้ยวให้เรา ให้เราเข้าใจได้ง่าย ๆ เรามีหน้าที่แค่อ้าปาก กลืนลงไป ยังไงหลวงพ่อก็ต้องไป ”


     และเมื่อมีนโยบายให้หมู่คณะสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หลวงพ่อทัตตชีโวท่านก็รีบทำตามนโยบาย โดยตอกย้ำให้ลูก ๆ เห็นความสำคัญและลงมาติดตามตัวเลขผู้มาสวดทุกวัน 
     ล่าสุด เมื่อมีนโยบายว่าเจ้าหน้าที่ของวัดให้สวดกัน อย่างน้อยวันละรอบคือ สามจบ ใครที่มาสวดในช่วงเย็นก็จะเห็นว่า หากไม่ติดภารกิจอย่างอื่นแล้ว หลวงพ่อทัตตชีโวท่านมาร่วมสวดด้วยทุกครั้ง

     “ ตลอดเวลากว่า ๕๐ ปีที่ติดตามหลวงพ่อธัมมะมา หลวงพ่อไม่เคยเห็นท่านพูดเล่นหรือให้ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้น เมื่อท่านสั่งอะไรมา หลวงพ่อจะรีบทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วจะดี บางเรื่องหลวงพ่อก็มองไม่ออก แต่ทำไปแล้ว เออ ผลออกมาดีจริง 
     เรื่องสวดธัมมจักนี่เช่นกัน หลวงพ่อก็ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ อย่าลืม บทนี้คือบทสำคัญ เป็นแม่บทในการขยายงานพระพุทธศาสนา บทอื่น ๆ เป็นบทขยายจากบทนี้แหละ อีกประการหนึ่ง พอเราสวดไป ใจก็หยุดนิ่ง จดจ่ออยู่กับบทสวด ใจก็เป็นสมาธิ แล้วพวกเราสวดกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง มันจะต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นแน่นอน ” 


     ณ วันนี้ คุณครูไม่เล็กของพวกเรา ได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว ลูก ๆ ทั้งหลาย ก็คงต้องขยับตัวตามหลวงพ่อของเราให้ทัน มาร่วมกันเก็บเกี่ยวความปลื้มใจกันทุกวันเลยนะ




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๗ ก.ย. ๕๙

หลวงพ่อสอนอะไร ตอน 63 (ฝึกโยมให้รู้จักคิด)

หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๓) ฝึกโยมให้รู้จักคิด



หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๓)

ฝึกโยมให้รู้จักคิด


     ด้วยมโนปณิธานในการสร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระ และสร้างคนให้เป็นคนดี หลวงพ่อทั้งสองจึงเพียรทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนาบุคลากรของพระพุทธศาสนา ให้มีคุณภาพและเป็นต้นแบบคนดีที่โลกต้องการ


     เมื่อไปขยายงานที่ต่างประเทศ หลวงพ่อทัตตชีโว ท่านได้ตอกย้ำให้กับลูก ๆ ว่า

     “ ญาติโยมของเราที่มาวัด อย่าให้เขามาแล้วเสียประโยชน์ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เขามาแล้วได้อะไร อย่าลืมว่า กว่าเขาจะมาถึงวัดของเราได้ เขาก็ผ่านวัดโน้นวัดนี้ ผ่านร้านค้า ผ่านสถานที่อะไรสารพัด แต่เขาก็มุ่งตรงมาที่เรา เพราะเขาคิดว่าถ้ามาที่นี่แล้วเขาจะต้องได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น อะไรที่จะฝึกคนของเราได้ ให้ทำเข้าไป ”


     อาตมาจำได้ดีว่า เมื่อหลวงพ่อได้ตรองคำสอน คำแนะนำของคุณยายได้ แล้วท่านเอามาปรับให้เป็นความดีสากล หลวงพ่อรีบโทรมาเล่าด้วยน้ำเสียงดีใจว่า 

     “ หลวงพ่อพบวิธีฝึกคนจากคำสอนของยายแล้ว ฟังมาตั้งนาน เพิ่งมาเข้าใจว่าแท้จริงที่ยายคอยย้ำอยู่ตลอด มันคือบทฝึกในชีวิตประจำวัน เมื่อตอนที่พบห้าห้อง หลวงพ่อก็ดีใจ แต่วันนี้พบความดีสากล หลวงพ่อเห็นทางในการพัฒนาคนโดยเอาความดีสากลมาทำในห้าห้องนี่แหละ ”


     แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่ออาตมาและทีมงานที่วัด ได้นำเอาความดีสากลมาใช้ในการอบรมธรรมทายาท ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ และเป็นการประเมินได้จากผู้ปกครองของธรรมทายาทด้วยว่า เด็ก ๆ ได้นำเอาความดีสากลกลับไปทำที่บ้าน จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เมื่อรายงานเรื่องนี้ให้หลวงพ่อท่านทราบ ท่านก็ให้งานต่อว่า

     “ ความดีสากลออกฤทธิ์แล้ว ให้ไปขยายผลต่อ ทำไงหล่ะ ก็รวมกลุ่มกัลยาณมิตรของเรานี่แหละ ให้เวียนกันไปทำตามบ้านโน้นบ้านนี้ ไม่ต้องทำทั้งหลัง อาจจะแค่ห้องใดห้องหนึ่งก่อน ให้เป็นกิจกรรมร่วมกัน แล้วจะเกิดผลดีต่อหมู่คณะ ”


     นอกจากเรื่องความดีสากลแล้ว หลวงพ่อยังให้ฝึกญาติโยมให้รู้จักคิดและประชุมกลุ่ม โดยท่านได้วางระบบเป็นขั้น ๆ ให้ กล่าวคือ 

     “ ให้แบ่งโยมเป็นกลุ่ม ๆ ให้เขาคัดเลือกกันในกลุ่มว่าใครจะเป็นประธานกลุ่ม ใครจะเป็นเลขาคอยบันทึก และใครจะเป็นผู้ออกมารายงาน จากนั้นให้คัดคนที่อ่านเสียงดัง ฟังชัด ฉะฉาน มาอ่านธรรมะที่คัดไว้ เมื่ออ่านจบ ให้แต่ละกลุ่มประชุมกัน กำหนดหัวข้อให้ ๑.​ได้ข้อคิดอะไรจากการฟังธรรมะเรื่องนี้ ๒. ประทับใจอะไรจากเรื่องนี้ ๓. พบข้อบกพร่องของตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ๔. ข้อบกพร่องนั้นเกิดจากอะไร ๕. จะแก้ไขข้อบกพร่องนั้นอย่างไร 

     หากทำอย่างนี้บ่อย ๆ คนของเราจะมีคุณภาพ คิดเป็น สรุปเป็น กล้าพูด ประชุมเป็น ให้ตั้งใจฝึกคนของเราเข้าไป ”


     จากหลักที่หลวงพ่อได้ให้ไว้ ทำให้เกิดการตื่นตัวและตั้งใจในการทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่เพียงแต่โยมจะคิดเป็น พูดเป็น และกล้าแสดงออกเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้เกินคาด คือ ทำให้โยมเกิดความคุ้นเคยกันยิ่งขึ้น




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com และ dmc.tv
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๕ ก.ย. ๕๙

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อสอนอะไร ตอน 62 (ยึดมั่นในความดี)

หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๒) ยึดมั่นในความดี




หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๖๒)

ยึดมั่นในความดี



     ในช่วงที่ผ่านมาสารพัดปัญหา สารพัดเรื่องถาโถมเข้ามาที่วัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะผู้ที่รับแรงกระแทกโดยตรงคือ หลวงพ่อธัมมชโย ที่ถูกผู้มีอำนาจกระทำแบบไม่เป็นธรรม โดยอาศัยกฎหมายที่มีในมือยัดเยียดข้อหาสารพัด รวมทั้งอำนาจในการควบคุมสื่อ สั่งการให้สื่อทั้งหลายพุ่งปลายปากกามาที่หลวงพ่อและวัดอย่างพร้อมเพรียงกัน




     มีผู้มาปรารภว่าทำไมเราไม่ตอบโต้อะไรหรือเราไม่เคยอ่านสามก๊ก ก็ต้องขอตอบว่า

     อย่าว่าแต่สามก๊กเลย ตำราพิชัยสงครามทั้งหลายทั้งไทยและเทศ ไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของหมู่คณะ แต่เราไม่เคยคิดเอาสิ่งเหล่านั้นมาใช้ เนื่องจากความเป็นพระ เป็นนักสร้างบารมี และที่สำคัญเราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ที่สอนให้เรา

“ ยึดมั่นในความดี ”


     หลวงพ่อธัมมชโยได้เคยให้โอวาทกับหมู่คณะไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตาม ต้องเอาใจไว้ที่กลางเท่านั้น 

     “ แม้หลวงพ่อเอง ตลอดระยะเวลาแห่งการสร้างวัดนั้น ถ้าวันไหนขาดการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อคงไม่สามารถอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้ามีอะไรที่ยังแก้ไขไม่ได้ หลวงพ่อจะเฉยไว้ก่อน แต่ไม่เคยหวั่นไหว มีคนสงสัยว่า หลวงพ่อเจอปัญหาต่างๆมากมาย หลวงพ่อทนได้อย่างไร ความรู้สึก "ทน" นั้น หลวงพ่อไม่มี ถ้ามีปัญหาก็เข้ากลางของกลาง มีความสุขภายใน งานก็สำเร็จ การมีธรรมะก็ดีอย่างนี้ งานข้างหน้ายังมีอีกมากมาย เพราะเราปรารถนาให้ทุกคนในโลก เข้าถึงสันติสุขภายในคือ พระธรรมกาย ”

หลวงพ่อทัตตชีโว ก็คอยตอกย้ำสมาชิกขององค์กรอยู่เสมอว่า 

     “ ขอให้พวกเรายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะให้ยึดหลักโอวาทปาฎิโมกข์ คือ ในการสร้างบารมีของเรานั้นจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ จะต้องมีความอดทนเพื่อจะไปนิพพาน และในระหว่างทางเราจะต้องไม่ไปก่อเวรกับใคร ”

     ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมใจกันทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อเอาบุญนั้น มาทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ พลิกฟื้นไปในทิศทางที่ดีขึ้น



     หลวงพ่อทัตตชีโวท่านจะคอยบอกหมู่คณะเสมอว่า ให้ประคับประคองใจให้ดี อย่าให้มีอะไรมาทำให้ใจขุ่น ให้ยึดหลักว่า คนดีต้องแก้ปัญหาด้วยความดี 

“ อย่าให้ความชั่วของใคร มาทำให้เราต้องทำความชั่วตามเขา ”

     เพราะการปลูกฝังของครูบาอาจารย์อย่างนี้ เราจึงไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่หลวงพ่อทั้งสองเห็นพ้องต้องกันคือ เราจะสู้ด้วยบุญ



     ดังนั้นทุกวันนี้สิ่งที่วัดสาขาทั่วโลกกำลังทำ คือการสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นบทสำคัญในการที่พระบรมศาสดาเทศน์ครั้งแรก เป็นการเคลื่อนจักรแห่งธรรมให้ขยายกว้างไกลออกไป



     หลวงพ่อทัตตชีโว ได้เคยกล่าวไว้เมื่อมีผู้มาเล่าว่า หลังจากที่ได้มาสวดมนต์ที่วัดทุกวัน ทำให้ชีวิตมีแต่สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้น หลวงพ่อได้อนุโมทนากับเขา และกล่าวสั้น ๆ ว่า

     “ จะมีสักกี่คนในโลกที่เชื่อมั่นในบุญเหมือนที่หมู่คณะเรากำลังทำอยู่ ”

     จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้จะให้ได้ล้านจบ ณ วันนี้ ได้ขยับเป้าหมายไปอยู่ที่ ๔ ล้านจบ ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่า เมื่อครบแล้ว จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับประเทศไทยเท่านั้น แต่ทั้งโลกจะต้องได้รับสิ่งดี ๆ เช่นเดียวกัน








ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๔ ก.ย. ๕๙